นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ช่วงไตรมาส 1 ปี 65 พบว่ามีจำนวน 63,892 หน่วย มูลค่า 214,156 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 2,956 หน่วย มูลค่า 10,077 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 7,789 หน่วย มูลค่า 22,945 ล้านบาท ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยที่ยังเหลือขาย ค้างสต็อกเหลือขาย 56,103 หน่วย มูลค่า 191,220 ล้านบาท
ทั้งนี้หน่วยเหลือขายแยกเป็นโครงการอาคารชุด 19,299 หน่วย มูลค่า 85,088 ล้านบาท ซึ่งทำเลที่มีอาคารชุดเหลือขายมากสูงสุด ได้แก่ โซนจอมเทียน 7,654 หน่วย รองลงมาโซนพัทยา-เขาพระตำหนัก 5,495 หน่วย และโซนแหลมฉบัง 1,901 หน่วย ซึ่งสังเกตได้ว่าอาคารชุดพื้นที่ท่องเที่ยวยังคงมีภาวะสูงเกินความต้องการมาก ส่วนโครงการบ้านจัดสรรมีหน่วยเหลือ 36,804 หน่วย มูลค่า 106,132 ล้านบาท อันดับ 1 โซนนิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น 6,419 หน่วย รองลงมาโซนนิคมฯ พานทอง-พนัสนิคม 3,089 หน่วย และโซนนิคมฯ เหมราช 3,066 หน่วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเภททาวน์เฮาส์คำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต
สำหรับยอดขายที่อยู่อาศัย 7,789 หน่วย มูลค่า 22,945 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดเพียง 1,680 หน่วย มูลค่า 5,471 ล้านบาท ซึ่งทำเลยอดฮิต อันดับ 1 โซนหาดจอมเทียน 315 หน่วย อันดับ 2 โซนบางแสน-หนองมน-บางพระ 302 หน่วย อันดับ 3 โซนพัทยา-เขาพระตำหนัก 287 หน่วย สะท้อนให้เห็นว่า อาคารชุดย่านท่องเที่ยวยังคงมีการซื้อต่อเนื่องแต่ไม่มากนัก ขณะที่ยอดขายได้ใหม่โครงการบ้านจัดสรร 6,109 หน่วย มูลค่า 17,474 ล้านบาท ซึ่งทำเลยอดฮิตจะอยู่ในโซนนิคมอุตสาหกรรม อันดับ 1 โซนนิคมฯ อมตะซิตี้-อีสเทิร์น 921 หน่วย รองลงมาเป็นโซนนิคมฯ เหมราช 607 หน่วย และโซนนิคมฯ อมตะ-บายพาส 453 หน่วย
นายวิชัยกล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประเมินภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในอีอีซีตลอดปี 65 โดยคาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่ 20,270 หน่วย เพิ่มขึ้น 51.9% เมื่อเทียบกับปี 64 มีหน่วยขายได้ใหม่ 21,675 หน่วย เพิ่มขึ้น 7.3% และมีหน่วยเหลือขาย 61,719 หน่วย เพิ่มขึ้น 2% โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบ ประกอบด้วย การระบาดของโควิดที่อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง หลังจากเปิดประเทศ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวขึ้น รวมถึงดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวขึ้น 0.50-1% ซึ่งจะเป็นผลกระทบเชิงลบต่อตลาดที่อยู่อาศัยได้